อัศศิญา เกื้อชู [อ๋อมแอ๋ม]
ชีวิตก่อนผ่าตัด….ดิฉันเคยมีน้ำหนักมากสุดในชีวิต คือ 108 กิโลกรัมบวกด้วยสารพัดโรคที่อันตรายที่สุด คือ หยุดหายใจในขณะนอนหลับ เรียกได้ว่าชีวิตอยู่ในความเสี่ยงตลอดเวลาในขณะนอนหลับ นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับไขมันในตับจำนวนมาก ทำให้การใช้ชีวิตในสังคมยากลำบากมาก บุคลิกภาพดูไม่ดีไม่ค่อยกล้าแสดงออกแม้ตัวเองจะมีความสามารถหลายด้านก็ตาม หลายครั้งรู้สึกน้อยใจตัวเองที่ไม่สามารถลดน้ำหนัก ได้เลยแอบใช้วิธีลัดโดยการแอบกินยาลดน้ำหนักจนสามารถลดน้ำนักได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่ถึงสัปดาห์ สุดท้ายเกิดอาการเวียนหัวจนทางบ้านต้อง นำส่งโรงพยาบาล สุดท้ายก็กลับมาน้ำหนักเท่าเดิมและไม่สามารถลดน้ำหนักได้อีกเลย
แต่มีอยู่วันหนึ่งมีลูกพี่ลูกน้องที่เป็นพยาบาลในโรงพยาบาลสงขลานครินทร์โทรมาหาแล้วบอกว่า ตอนนี้มีโครงการผ่าตัดเย็บกระเพาะเพื่อลดโรคอ้วนของแผนกศัลยกรรมโดยอาจารย์กำธร เค้าอยากเห็นความเปลี่ยนแปลงของดิฉันจึงได้จองคิวตรวจให้ ดิฉันเข้ามาฟังการบรรยายที่เกี่ยวข้องกับโครงการก็สนใจคิดว่าโครงการนี้เป็นโครงการที่ดี ที่จะช่วยให้ฉันลดปัญหาเรื่องความอ้วน และโรคอื่นๆ ที่เป็นอยู่ หลังจากนั้นฉันจึงตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ พูดคุยปรึกษากับคุณหมอกำธร และคุณหมอสิริพงศ์ เป็นระยะๆ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาและ การปฏิบัติตัวก่อนทำการผ่าตัดมิติใหม่แห่งการรักษาโรคอ้วน
หลังผ่าตัด.... ทุกอย่างในชีวิตเปลี่ยนไป ซึ่งเป็นการเปลี่ยนไปในด้านบวก ทั้งในเรื่องของสุขภาพบุคลิกภาพ โดยเฉพาะด้านสุขภาพ ที่หลังจากผ่าตัดได้ไม่นาน สุขภาพก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ภาวะการหยุดหายใจขณะหลับลดลง การตรวจร่างกายไม่พบไขมันในตับ สุขภาพทุกอย่างเริ่มดีขึ้น อีกทั้งบุคลิกภาพดูดีขึ้นเป็นอย่างมาก กล้าแสดงออกมาขึ้น การใช้ชีวิตในสังคมเป็นไปได้ดีกว่าเดิม ซึ่งการผ่าตัดในครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญชีวิต และเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่จะไม่มีวันลืม น้ำหนักปัจจุบัน 74 กิโลกรัมค่ะ
จากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ดิฉันขอขอบคุณ ผู้บริหารโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ที่เปิดโอกาสให้มีโครงการดีๆ แบบนี้เกิดขึ้น ขอขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้โดยเฉพาะคุณหมอกำธร ยลสุริยันวงศ์ คุณหมอสิริพงศ์ ชีวธนากรณ์กุล และและทีมงานคุณภาพทุกๆท่านของคุณหมอที่ช่วยให้ดิฉันมีวันนี้ ขอขอบคุณครอบครัวที่อยู่เคียงข้างและให้กำลังใจเสมอ สุดท้ายนี้ ดิฉันอยากให้ทุกๆ คนที่มีปัญหาโรคอ้วน ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ และเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทิศทางที่ดีขึ้น และอยากให้ทุกคนได้มีกำาลังใจในการคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง
เอกกมล ชัยสวัสดิ์ [โอ๊ค]
ชีวิตก่อนหน้านี้ผมเคยหนักสุด 185 กิโลกรัม ครับ ตอนนั้นเวลาไปไหนมาไหนก็จะเหนือยง่ายกว่าคนอื่นๆ ขึ้นบันไดหลายๆชั้นจะเหนื่อยและหอบจนหายใจไม่ทัน ต้องหยุดพักหายใจตลอด สมัยมัธยมก็จะโดนเพื่อนแกล้งอยู่เป็นประจำหาไซด์เสื้อผ้าลำบากมากครับ ต้องใส่เสื้อไซด์ XXXL เวลาไปตลาดหรือห้างนานๆ ทีจะเจอเสื้อที่ใส่ได้ซักตัวสองตัว พอเจอต้องรีบซื้อเพราะร้านอื่นๆ มักไม่ค่อยมีเสื้อไซด์ประมาณนี้ ไม่มีเวลาเลือกสีหรือลายที่ตัวเองชอบเลย ถ้ามีก็ต้องซื้อทันทีครับ
วันหนึ่งอาโทรมาบอกว่าที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ มีโครงการผ่าตัดกระเพาะ เลยไปปรึกษาพ่อกับแม่ ท่านบอกว่าถ้ามั่นใจก็ลองไปเลยไม่เสียหายอะไร เลยได้ไปติดต่อที่ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ได้รับการตรวจร่างกายเจาะเลือดเบื้องต้น เตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการผ่าตัด จากนั้นจึงได้คิวผ่าตัดและได้ไปพบฝ่ายโภชนาการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เพื่อแนะนำวิธีการรับประทานอาหารหลังผ่าตัดเพื่อให้น้ำหนักลดควบคู่กับการผ่าตัดกระเพาะ ตอนนั้นรู้สึกกลัวว่าจะรอดปลอดภัยจากการผ่าตัดหรือไม่ แต่หมอบอกว่าไม่ต้องกลัวปลอดภัยแน่นอน
หลังจากผ่าตัด ต้องควบคุมอาหารการกินใหม่ทั้งหมด รับประทานให้น้อยลง และออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย น้ำหนักผมจึงลดลงมาเรื่อยๆ จากเมื่อก่อนที่ขึ้นบันไดต้องหยุดพัก ตอนนี้สามารถขึ้นบันไดหลายๆ ขั้นได้โดยไม่ต้องหยุด ระดับความดัน น้ำตาลและไขมัน ลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ รู้สึกคล่องตัวขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
ปัจจุบันผมหนัก 92.3 กิโลกรัมครับ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เป็นนักกีฬารักบี้ เป็นนักวิ่ง FUNRUN เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีความมั่นใจ มีความมุ่งมั่น สามารถดูแลตนเอง ดูแลคนที่รักและดูแลคนรอบข้างได้ โครงการผ่าตัดกระเพาะ ไม่เพียงแต่ลดความอ้วนเท่านั้น แต่ยังให้อะไรหลายๆ อย่าง ที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อน ช่วยฝึกให้เราเป็นคนมีวินัยทั้งในเรืองการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การดูแลตัวเองในทุกๆ ด้าน
ขอขอบคุณ คุณหมอกำธร ยลสุริยันวงศ์ คุณหมอสิริพงศ์ ชีวธนากรณ์กุล พี่ๆ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ทุกคนในโครงการผ่าตัดกระเพาะอาหารมากๆ ครับ ที่ทำให้ผมมีวันนี้
สันติสุข อมร [มะโหน่ง]
ผมชื่อมะโหน่งครับ ตอนนี้อายุ 39 ปี เป็นคนจังหวัดกระบี่ น้ำหนักสูงสุด 220 กิโลกรัม ผมเติบโตมาในครอบครัวที่ค่อนข้างขัดสนแต่ก็มีความสุขดี โดยเฉพาะเรื่อง “กิน” ปัจจุบันนี้ผมมีครอบครัวและมีลูกสาว 1 คน กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปี่ที่ 4 ผมมีอาชีพทำอาหารตามสั่งเล็กๆ น้อยๆ ขาย นำมาซึ่งรายได้ใช้จ่ายในครอบครัว ภรรยาผมมีหน้าที่รับผิดชอบหลัก ส่วนผมช่วยได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ เพราะสุขภาพที่ดูเหมือนแข็งแรงแต่มีอาการเจ็บปวดโดยไม่ทราบสาเหตุและผมในตอนนั้นยังไม่ยอมรับว่ากำลังเป็นโรคอ้วน
ผมอ้วนมาหลายปีและเริ่มมีปัญหากับสุขภาพมาตลอดไม่ว่าจะเป็นความดัน ไขมัน เบาหวาน ข้อเข่าอักเสบ และที่น่ากลัวมากคือการหยุดหายใจขณะนอนหลับ ผมเคยลองซื้อยาลดความอ้วนที่มีขายตามท้องตลาดมากิน ก็ไม่ได้ผล แต่กลับมาอ้วนมากกว่าเดิม ผมต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยมากและต้องนอนที่โรงพยาบาลบางครั้งเป็นสัปดาห์ ด้วยสภาพที่อ้วนและน้ำหนักเยอะการเคลื่อนย้ายก็ลำบาก แต่ตอนนั้นโชคดีที่ผมยังพอเดินได้
ระหว่างที่นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกระบี่ มีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมาเฝ้าหรือมาเยี่ยมใครสักคน เธอบอกว่าเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดที่ป้ายของโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เกี่ยวกับการผ่าตัดสำหรับผู้ป่วยโรคอ้วน หลังจากอ่านข้อความและสอบถามรายละเอียดจากผู้ที่พอจะทราบเรื่อง ผมจึงได้เดินทางมาโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ พบคุณหมอกำธร ยลสุริยันวงศ์ ท่านได้ให้คำแนะนำขั้นตอนในการรักษา และดูแลผมเป็นอย่างดี ผมพยายามไปตามที่หมอนัดทุกครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งผมเกิดอาการปวดหลังจนไม่สามารถลุกขึ้นเดินหรือยืนได้ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องนอนติดเตียง ไม่สามารถไปตามนัดที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ได้อีก ผมรู้สึกสงสารภรรยามาก ที่ต้องแบกภาระอันหนักอึ้ง ต้องมาคอยดูแลผม บางครั้งผมก็คิดน้อยใจตัวเองที่ต้องรบกวนคนอื่น หลายครั้งต้องรบกวนผู้ใหญ่บ้านให้ไปส่งที่โรงพยาบาลและกว่าจะนำผมขึ้นรถได้ต้องใช้คนหามเป็นสิบคน วนเวียนอยู่แบบนั้นเกือบปี ระหว่างที่นอนแบบคนสิ้นหวัง ผมยังมีกำลังใจที่สำคัญมากๆ คือ “ลูกสาวและภรรยา” ซึ่งเป็นกำลังใจที่วิเศษที่สุดที่ทำให้ผมสู้และยิ้มได้
ผมไม่ได้คิดถึงเรืองการรักษาอีกเลย และขาดการติดต่อโรงพยาบาลสงขลานครินทร์นานมาก แต่แล้ววันหนึ่งก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นกับชีวิตผม มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในตอนบ่าย ซึ่งเมื่อผมได้ยินเสียงและพูดคุยจึงได้รู้ว่าคืออาจารย์กำธร คุณหมอผู้ที่ให้การรักษาผม ท่านยังคงติดตามและห่วงใยผม คุณหมอโทรมาถามถึงสาเหตุที่ผมไม่ไปโรงพยาบาลตามนัด ผมจึงเล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด คุณหมอบอกว่า “ไม่ต้องกังวล” ให้ผมไปรักษาต่อ “แค่ไปให้ถึง รพ. ม.อ. ก็พอแล้ว” สิ่งที่คุณหมอพูดในวันนั้น ทำให้ผมมีความหวังขึ้นอีกครั้ง ณ.เวลานั้นน้ำตาแห่งความตื้นตันใจได้เอ่อไหลออกมา……
ผมไม่สามารถเดินทางไปโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ได้เองเนื่องจากเดินไม่ได้ ผู้ใหญ่บ้านใช้รถกระบะบรรทุกผมไป คุณหมอได้รับตัวไว้เพื่อรักษา ผมได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหารและได้รับการดูแลอย่างดีทั้งด้านร่างกายและจิตใจ รวมเวลาประมาณ 2 เดือน ผมเดินได้อีกครั้ง คุณหมอให้กลับบ้านแต่ยังอยู่ในความดูแล ติดตามนัดสม่ำเสมอ น้ำหนักลดลงเรื่อยๆ ส่วนโรคที่เคยเป็นก็ค่อยๆ หายไป ชีวิตดีขึ้นในทุกด้าน ต้องขอบคุณอาจารย์และทีมงานทุกๆ ท่านที่ให้ความช่วยเหลือผมตลอดมา สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับโอกาสผ่าตัดกระเพาะอาหาร เป็นเหมือนความฝัน เป็นปาฏิหาริย์สำหรับตัวผมเอง สิ่งแรกที่รับรู้ได้เลยคือ รู้สึกมีกำลังใจที่จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปและได้เรียนรู้การปรับเปลี่ยนตัวเอง ปัจจุบันน้ำหนัก105 กิโลกรัม ตอนนี้ดูผอมลง สามารถกลับมาเดินเหินได้ดั่งคนทั่วไปและไปไหนมาไหนคล่องตัวมากขึ้นสามารถช่วยงานที่บ้านและได้ไปร่วมงานต่างๆ ได้เข้าสังคม พบปะกับเพื่อนๆ จากที่ไม่เคยได้ไปไหนเลยสภาพจิตใจก็ดีขึ้นตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ยังทำาให้ผมได้ใส่เสื้อผ้าตัวเล็กลงและสวยๆ เท่ๆ ได้ ส่วนหน้าตาก็ดูดีขึ้นมาก (คิดเอาเองครับ) ผมรู้สึกยินดีทุกครั้งที่หวนคิดถึงเรืองราวที่ผ่านมากับการเปลี่ยนแปลงของตัวเองในปัจจุบันและจะรักษาสิ่งที่วิเศษนี้ไว้ตลอดไป…….
ท้ายนี้ผมอยากบอกทุกคนว่า บางครั้งคนเราอาจเจอะเจอกับปัญหาและอุปสรรคในชีวิต ล้มบ้าง ลุกบ้าง แต่ในวันที่เราต้องพบเจอกับสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่มีค่าและมีความสำคัญในวันที่เราท้อแท้นั้นคือ “กำลังใจ” จากคนที่เรารักและคนที่รักเรา
ณัฎฐนันท์ คงทน [ลูกปลา]
ลูกปลา อายุ 34 ปี จบนิติศาสตรบัณฑิตและนิติศาสตรมหาบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำาแหง และปัจจุบันทำงานในตำแหน่งนิติกร น้ำหนักตัวที่เคยหนักสุดมีน้ำหนักถึง 115 กิโลกรัม
ดิฉันเป็นคนอ้วนคนหนึ่ง โดยชีวิตก่อนผ่าตัด มีน้ำหนักตัว 111 กิโลกรัม และมีภาวะโรคแทรกซ้อนมากมาย โดยเฉพาะโรคหอบหืด เบาหวาน ที่น้ำตาลสูงถึง 383 mg% โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ นอนกรนชนิดรุนแรง ความดันไขมันเกาะตับ ไขมันในเส้นเลือดสูงเพราะชอบทานของทอด ของมัน โดยเฉพาะหมูสามชั้น และยังชอบรับประทานน้ำหวานมากๆ เช่น ชาเย็น กาแฟเย็น น้ำอัดลมที่รับประทานได้ถึง 2 ลิตรต่อวัน ประจำเดือนมาไม่ปกติ ประมาณ 6 เดือน ประจำเดือนถึงจะมาสัก 1 ครั้งเท่านั้น แม้ทราบว่าการใช้ชีวิตของตนเองที่รักและชื่นชอบในการกินมีความอันตรายมาก ก็ยังไม่กลัวใดๆ ทั้งสิ้น
จนมาถึงวันที่อาการหอบหืดกำเริบจนต้องไปให้ออกซิเจนในโรงพยาบาล และพบคุณหมอที่เคยทำการรักษาโรคหอบหืดโดยบังเอิญ คุณหมอท่านนั้นจึงแนะนำให้ไปปรึกษาคุณหมอกำธร ยลสุริยันวงศ์ เพื่อรักษาโดยอ้วน เพื่อภาวะโรคแทรกซ้อนอื่นๆ จะได้หายเป็นปกติ แต่ขณะนั้น ตนเองยังรักและชื่นชอบในการกินเป็นอย่างมากจึงไม่ปฏิบัติตามที่คุณหมอโรคหอบหืดแนะนำ อีกทั้งตนเองเป็นคนชอบแต่งตัวกล้าแสดงออก และคิดว่าตนเองดูดีแล้ว เก่งในทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น แม้จะมีภาวะโรคแทรกซ้อนเข้ามารุมล้อมมากมายก็ตาม จนมาถึงวันที่อาการเบาหวานเริ่มอันตรายมากขึ้น คือ น้ำตาลสูงถึง 383 mg% ต้องฉีดอินซูลินเข้าที่บริเวณหน้าท้องทุกวัน เวลา 22.00 น. ปริมาณ 28 ยูนิต อีกทั้งมีอาการปัสสาวะบ่อย กินน้ำมาก เลือดกำเดาในจมูกไหลทุกวัน ตอนนั้นจึงเริ่มกลัวโรคต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามา ประกอบกับมีเหตุการณ์หนึ่ง คือ ตนเองมักได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่ในการเป็นพิธีกรงานต่างๆ ของหน่วยงานเสมอ เหตุการณ์วันนั้น มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวในที่ประชุมซึ่งมีผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนกว่าร้อยคน ว่าตั้งแต่ตนเองรับราชการมามีที่นี่ที่แรกที่ให้พิธีกรอ้วนขนาดนี้มาทำหน้าที่เป็นพิธีกร ทำให้ข้าพเจ้าอายเป็นอย่างมาก นับแต่วันนั้น ข้าพเจ้าจึงมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนใหม่ รักชีวิตตนเองมากขึ้น จะได้อยู่ดูแลคนที่เรารักคือพ่อและแม่ไปนานๆ จึงตัดสินใจเข้าคลินิกโรคอ้วนของคุณหมอกำธร ยลสุริยันวงศ์ เพื่อปรึกษาโรคอ้วนและภาวะโรคแทรกซ้อนของตนที่อันตรายและมีความเสี่ยงสูงมาก ทั้งที่อายุยังไม่มาก
ตอนผ่าตัด ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนย่อมมีความกลัว ประกอบกับคุณหมอกำธร ยลสุริยันวงศ์ กล่าวไว้แล้วว่าการผ่าตัดทุกอย่างย่อมมีความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงน้อยมาก เมื่อเทียบกับอนาคตที่รอเราอยู่ จึงตัดสินใจกับครอบครัวว่ายังไงเราต้องผ่านพ้นไปให้ได้และรอวันสดใสที่มีอยู่ในทุกวันนี้ คืนนั้นก่อนที่จะผ่าตัดข้าพเจ้าสวดมนต์เพื่อให้จิตใจผ่องใสเตรียมพร้อมรับ กับวันที่สดใสในอนาคต ข้าพเจ้าผ่าตัดไปเมื่อวันที่18 กันยายน 2558 ปัจจุบันน้ำหนักอยู่ที่ 74 กิโลกรัม แต่ต้องการที่จะต้องลดน้ำหนักลงเรื่อยๆ อีก โดยการลดอย่างถูกวิธี การกินให้ถูกต้อง ได้รับสารอาหารครบถ้วน ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินไปตลอดชีวิต ออกกำลังกายทุกวันจนเป็นนิสัย วันนี้จึงอยากกล่าวกับทุกท่านว่าจากสาวอ้วนคนหนึ่งที่มีน้ำหนักตัวมากถึง 111 กิโลกรัม และมีชีวิตเพื่อคิดถึงแต่เรื่องกินแต่เพียงอย่างเดียว จนทำให้ครอบครัวมีความทุกข์ใจ เพราะถ้าตัวเราไม่รักตนเองก็ไม่สามารถมีใครช่วยเราได้ จนมาวันนี้ข้าพเจ้าลดน้ำหนักไปแล้วถึง 37 กิโลกรัม มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงมาก เป็นผู้หญิง healthy ที่รักการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ ระมัดระวังเรื่องการทานอาหาร โดยไม่ทานของทอด ของมัน ไม่ทานน้ำหวาน ตนเองเป็นคนที่ชอบทานกาแฟ จะชงกาแฟไปดื่มที่ทำงานเองทุกวัน โดยดื่มกาแฟดำบ้าง หรือกาแฟใส่สารที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลกับนมขาดมันเนย แค่นี้ชีวิตเราก็เป็นสุขกับการที่มีสุขภาพที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้ามีคำพูดติดปากตนเองเสมอที่อยากจะบอกแก่ทุกท่านคือ “เราจะเกิดมาเพื่อแก่ตาย จะไม่ยอมตายเพราะโรคอ้วน” ค่ะ อยากให้ทุกท่านปรับเปลี่ยนความคิดเรื่องการกินนะคะ เพราะการกินไม่ใช่ความสุขที่สุดของเราในการมีชีวิตอยู่ การอยู่เพื่อดูแลคนที่เรารักต่างหาก คือสิ่งที่สำคัญและมีความหมายต่อเราที่สุดค่ะ ขอบคุณคุณหมอกำธร ยลสุริยันวงศ์ รพ.มอ. และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกท่านที่ทำให้ข้าพเจ้ามีวันนี้ค่ะ ขอขอบพระคุณมากค่ะ